๐๐๔ | ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้น



เหมือนโลกทั้งใบติดอยู่ปลายนิ้ว ริมฝีปาก
หากแต่ปากที่แห้งผากและนิ้วที่แข็งทื่อถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้
ฉันอยากจะล่องลอยไปบนฟากฟ้าให้ไกลแสนไกล
ไปให้พ้นจากภัยและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง

ฉันเคยคิดฆ่าตัวตายเพื่อบวงสรวง
ดวงชะตาที่คดควงเล่นตลกกับชีวิตข้าฯ
พลันเหลือบไปเห็นดวงดารา
ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางท้องฟ้าสีหมึก
ฉันช่างชอบยามดึกที่น่าเกรงกลัวนี้ยิ่งนัก

ดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่มาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ดวงดาราก็หายวับเหลือให้เห็นแต่รอยร่องเป็นเอกลักษณ์
ฉันอยู่ตรงนี้ก็ช่างสุขใจนัก
ถึงไร้รักอยู่โดดเดี่ยวความเหงาก็มิได้ครอบงำข้าฯ
เพราะอันฉันมีดวงดาราคอยเป็นเพื่อน

ว่าแล้วจะไปให้ถึงซึ่งดวงจันทร์
ซึ่งอยู่ไกลนับพันนับหมื่นลี้
ไม่ย่อท้อฉันรีบเร่งจรลี
เดินขึ้นที่ภูเขา่ซึ่งอยู่ตรงนั้น

ก้าวไปก้าวไปเมื่อใดจะถึง
คาดคำนึงโอ้ภูเขาหนีเราเรื่อย
บนทุ่งหญ้ามีลมเย็นเยียบเทียบฝั่งพัดเอื่อยเฉื่อย
พัดเรื่อยเรื่อยคอยประโลมจิตที่คิดแผลง

จนราชรถจากสวรรค์มาถึงที่
ฉันไม่รอรีรีบเร่งรี้ขึ้นรถราที่มารับนั้น
นายคนขับแจ้งกิจการให้ฉันฟัง
คำพูดนั้นลอยเลื่อนเคลื่อนผ่านหูไป

เข้าสู่นิทรารมณ์ทั้งที่อยู่บนราชรถนั่น
พลัดตกพลันดังที่พระเจ้าท่านประสงค์ไว้
ดวงชีวิตดวงวิญญาณก็ดับวูบลงไป
คงไว้แต่ความรู้สึกที่นึกโศกและโอดครวญ

พบตัวฉันอยู่บนทุ่งหญ้าที่น่าเดินเที่ยวเล่น
ธารน้ำเย็นไหลเป็นสายเล็กเลียบฝั่ง
มองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามก็ใจหายไปพลัน
กระดูกกระเดี้ยวที่เกลื่อนกลาดนั้นดูช่างน่าเหงาใจ

เหลือบเห็นหญิงสาวงามนางหนึ่งนอนอยู่ข้างลำธารนั้น
ตัวเธอดูเหมือนสรรค์สร้างมาจากใบไม้
กายของเธอสีเขียวสดใส
เช่นเดียวกับผมและศีรษะที่มีดอกไม้ที่สวยสดงดงามยามแลเห็นตั้งเด่นอยู่บนนั้น

เสียงเธอไพเราะราวเสียงพิณที่ดีไร้ที่ติ
อ้ายามฟังนี่สิช่างสุขอภิรมย์หนักหนานา
พลันปีกของเธองอกออกมาโดยไร้ซึ่งคำเตือนของหญิงสาวที่ทำมาจากพฤกษา
หน้าของเธอบิดเบี้ยวกลายเป็นปีศาจกาที่ร้องเรียกเพรียกหมู่ของมัน

ฉันรู้ถึงจะงอยปากที่แข็งแรงงับฉันไว้
พาฉันบินข้ามไปยังอีกฝั่งลำธารน้ำใส
ไปวางข้างกระดูกที่วางทิ้งไว้อยู่นั้นไซร้
ฉันตกใจพลันร้องเรียกเพรียกหาเทวดา

ราวกับว่าสรวงสวรรค์ได้ยินกระนั้น
อัศนีบาศฟาดลงกลางลำธารสัน
แผ่นดินก็แยกออกเป็นช่องกว้างสีน้ำหมึกโดยพลัน
ฉันก็ตกลงไปพร้อมกับกามฤตยูนั่น

ราวกับเหวที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุด
สติของฉันถูกฉุดพร้อมกับภาพที่เต็มไปด้วยสีแดงส้ม
โอ้นี่เราจมลงมาถึงในดินแดนใต้พิภพแห่งอาคม
ที่เต็มล้นด้วยนักเวทย์ที่เหมาะสมแก่การอยู่ใต้ดิน

เสียงร้องที่น่ากลัวดังขึ้นเสียดหู
มีโซ่ที่เหมือนกับราวมีชีวิตกรูเข้าพันธนา
ชายสวมสุดสีแดงสุดย่างสามขุมเข้ามา
ตบหน้าฉันอย่างไร้ซึ่งแววแห่งความปรานี

โซ่ที่ล่ามนั้นก็เหมือนรู้เห็นเป็นใจ
เริ่มรัดเข้าไซร้ไร้ซึ่งความปรานีเช่นเจ้าของโซ่
แส้ที่ฟาดผ่านอากาศที่ร้อนระอุส่งเสียงน่ากลัว
โอ้ฉันทำชั่วอะไรมาหรือ

ฉับพลันทันใดแผ่นดินไหวไหวราวพิภพทั้งสิ้นจะพังลงมาทับเช่นนั้น
โซ่ที่พันธนาการฉันพลันเลื่อนไหลหลุดลอดออก
ราวกับมีมังกรพ่นน้ำอยู่ข้างใต้ฉันและสำรอก
นำน้ำจากปากของมันออกและพุ่งขึ้นมาใต้เท้าฉัน

เหมือนน้ำที่ชุบชีวิตของฉันให้เดินต่อเรื่อย
ฉันรู้สึกเหนื่อยราวกับสวรรค์ไม่มีอยู่
ฉันมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าแกมชมพู
นั่นลองมองดูเจ้าตะวันจะเลื่อนขึ้นจากขอบฟ้า

ลมที่ราวกับมีชีวิต
นำฉันติดไปราวกับเหน็บดาบไว้ที่เข็มขัดแล้ววิ่งไปฉันนั้น
ฉันตกใจด้วยความรู้สึกที่ตื่นตระหนกนั้น
แต่ความรู้สึกก็ทุเลาลงพลันเพราะหน้าต่างสีน้ำเงินที่ใกล้เข้ามา

มองเห็นเตียงและลูกบิดประตูที่ค่อยหมุน
ลมนั้นรีบเร่งดุนฉันเข้าหน้าต่างที่เปิดกว้าง
ไปยังเตียงนอนที่ถูกทิ้งอยู่ให้อ้างว้าง
ผ้าห่มผืนใหญ่สีน้ำตาลก็ห่มฉันอย่างนวลนุ่ม

เหมือนโลกทั้งใบติดอยู่ปลายนิ้ว ริมฝีปาก
หากแต่ปากที่แห้งผากและนิ้วที่แข็งทื่อถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้
ฉันอยากจะล่องลอยไปบนฟากฟ้าให้ไกลแสนไกล
ไปให้พ้นจากภัยและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
เอางี้เลยนะ...
น่าจะมีรูปประกอบด้วยนะ

ไม่งั้นอ่านแล้วมึน
หรือถ้าขี้เกียจวาดรูปจริงๆ จะเอา graphic
อะไรมั่วๆ คั่นหน่อยก็ดี

อ่านแล้วเกือบได้อารมณ์ ^-^
ช่างเถอะครับ
ผมออกจะขี้เกียจหน่อยหนึ่ง
-_-"

(ตอนเขียนได้อารมณ์ดีครับ
เหมือนสมองจะระเบิดออกมาอย่างนั้น)
เมื่อ 5/2/49 15:16 โดย Blogger Zafire06  
โย่ว
ไม่มีเหตุผลอะไร
บางคำอ่านแล้วไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
แต่น้ำตามันคลอดยไม่มีสาเหตุ

เหมือนหนังของเปโดร อัลโมโดบา
ที่ไม่เข้าใจ แต่มันซึมลึก

จริงๆนะ
Comment | Top