๐๑๖ | ทำไม ?
หลายคนที่ยืนอยู่บนโลกใบเล็กๆแต่ใหญ่โดยสัมพัทธ์นี้ (ทำไมตูชอบใช้คำนี้นักวะ) มักชอบตั้งคำถาม ไม่ใช่หลายคนหรอก ผมคิดว่าทุกคนที่อยู่ในสภาวะที่ตั้งคำถามได้จะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอๆ โดย Prefix ยอดนิยมเท่าที่เห็นคือ ทำไม อย่างไร และอื่นๆตามแต่โอกาสและความเหมาะสม
เหมือนกับหลายคนสงสัยว่าทำไมชีวิตของสิ่งมีชีวิตจึงขึ้นอยู่กับยีน ยีนมันสั่งมาอย่างไร ทำไมดวงดาวจึงมีแสงสว่าง ดวงอาทิตย์มาจากไหน ทำไมคำนี้จึงหมายความว่าต้นไม้ ทำไมต้องมีศาสนา ทำไมแยมของฉันหายไปจากตู้เย็น ทำไมต้องเล่นคอมพิวเตอร์ ทำไมต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำไมฉันต้องอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้
เห็นได้ชัดเจนว่ามนุษย์ไม่เคยมีความสุขเลย ที่มีคำถามที่ตนเองตอบไม่ได้
และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น
มนุษย์ล่วงรู้ความลับแห่งจักรวาลและชีวิตอันซับซ้อนทีละเปลาะละเปลาะ ถ้าจะให้เปรียบความรู้ทั้งหมดตอนนี้เท่าที่มีอยู่กับความรู้ทั้งหมดจริงๆ คงจะบอกได้ว่าไปยังไม่ถึงครึ่งทาง จริงๆคือไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ด้วยซ้ำ แต่กระนั้น มนุษย์ก็มิได้ย่อท้อ ยังเดินทางไปบนเส้นทางที่ยากต่อการไขรหัสปริศนา ยิ่งไปไกลเท่าใด ปัญหาก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
คงเคยอ่านข้อความทำไมเป็นวงกลมไหมครับ ? และแล้วคำถามว่าทำไมก็จะมาบรรจบที่คำถามแรก เหมือนวงกลม (วงรีก็ได้วะ)
เส้นทางการเดินของสิ่งนี้ก็เช่นกัน
หลายคนบอกว่า ทุกคำถามมีคำตอบ
ใช่ครับ ผมก็คิดว่าทุกคำถามต้องมีคำตอบ
แต่คำตอบนั้น ถึงแม้จะถูกต้อง แต่ก็มิได้ระงับความรู้สึกบางอย่างอันแรงกล้ายิ่งของมนุษย์ลงไปได้
เช่น ทำไมรถถึงต้องมาชนคนที่เรารักและหวงแหน
"อ้าวแล้วทำไมไม่ไปชนคนอื่นวะ คนบนถนนมีตั้งเยอะ ทำไมต้องมาชนแฟนกูด้วย" คำถามนี้กระหน่ำเข้ามาในจิตใจเมื่อเกิดการสูญเสีย
(ไม่นับบางคนที่ดีใจที่แฟนสุดเฮี้ยบของตัวเองตายๆไปได้ซะก็ดี -- หายากครับ)
ลองเปลี่ยนคนโดนชนดูบ้าง เอาเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆแฟนมันแล้วกัน
"ไอ้รถห่า ทำไมต้องมาชนลูกกู คนบนถนนก็มีตั้งเยอะ" คำถามนี้ก็จะกระหน่ำมาอย่างไม่ปรานีในจิตใจของผู้เป็นพ่อและ/หรือแม่ เช่นเดียวกับที่มันกระหน่ำเข้ามาในจิตใจของมันคนที่แฟนโดนรถชนไปตอนแรกเช่นกัน
สมมุติให้ลูกเต๋ามาลูกหนึ่ง เล่นเกมเกมหนึ่ง
ใครทอดลูกเต๋าออกสี่ ตาย
คนที่หนึ่งทอด ได้สาม
คนที่สองทอด ได้หก
คนที่สามทอด ได้หนึ่ง
...
จนมีคนคนหนึ่งทอดได้สี่
อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นคนนี้ ?
ภาษาคณิตศาสตร์ (หรือเปล่าวะ) เรียกว่าความน่าจะเป็นครับ
ขณะนี้เราทุกคนก็เหมือนกับเล่นลูกเต๋ากับชีวิต เพียงแต่ลูกเต๋านั้นมีเป็นหมื่นๆแสนๆล้านๆหน้า
"ลูกเต๋าเหวอะไรวะ" บางคนคิด
แสดงว่ายอมรับไม่ได้
ศาสนาจึงกำหนดสิ่งที่เรียกว่า "บาป" ขึ้นมา
พุทธศาสนาบอกว่า การที่เราประสบเคราะห์กรรมในชาตินี้ เป็นเพราะเราทำกรรมไว้ในชาติก่อน
แล้วทำไมต้องทำกรรมไว้ตั้งแต่ชาติก่อน ?
อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็รู้หมดสิ ว่าจะต้องโดนอะไรตาย
ผมคิดว่าไม่มีหรอกบาปชาติก่อน ผมไม่เชื่อแม้เรื่องชาตินี้ชาติหน้าด้วยซ้ำ
มันเหมือนเป็นกลอุบายที่จะทำให้คนเราปลดปลงกับชีวิต ว่าชาติก่อนไม่รู้เราไปทำอะไรไว้ ชาตินี้อย่างไรๆก็ต้องรับกรรมนั้น สู้ทำบุญเพื่อชาติหน้าจะดีกว่า
เพื่อให้ยอมรับทุกอย่างอันเลวร้ายที่กำลังใกล้เข้ามาได้อย่างเต็มภาคภูมิ
คริสต์บอกว่า เพราะพระเจ้า
ผมเคยมีอคติว่า คริสต์อะไรก็อ้างพระเจ้า
บัดนี้ ผมคิดว่า การอ้างพระเจ้า ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งเช่นกัน
รวมทั้งคำสอนส่วนใหญ่ในคริสต์ศาสนา ก็มิได้อ้างแต่พระเจ้าโดยไม่มีประโยชน์ให้บุคคลยึดเหนี่ยวเป็นหลักเพื่อเดินต่อไปในโลกกว้างไกลอันโหดร้าย
ผมว่ามันเข้าถึงบุคคลได้ดีกว่าอธิบายหลักความน่าจะเป็น (โอกาสที่จะโยนเหรียญ บลา บลา บลา -*-) ตั้งเยอะ
ถึงหลายคนจะเถียงว่า หลายครั้งหลายคราที่ตนประสบกับความโชคร้ายติดต่อกันเป็นชุด
ทำไม
เข้าคำถามทำไม ก็วนตามทางวกวนต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดๆเดิมที่เราเคยตั้งคำถาม
สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีอะไร ไร้ความหมาย
ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องพยายามเดินไปตามเส้นทางนั้นมากมาย
เดินเท่าที่เราจะไปได้
แล้วจบการเดินทางอยู่ที่ลมหายใจสุดท้ายของเราเท่านั้นก็พอ
เหมือนกับหลายคนสงสัยว่าทำไมชีวิตของสิ่งมีชีวิตจึงขึ้นอยู่กับยีน ยีนมันสั่งมาอย่างไร ทำไมดวงดาวจึงมีแสงสว่าง ดวงอาทิตย์มาจากไหน ทำไมคำนี้จึงหมายความว่าต้นไม้ ทำไมต้องมีศาสนา ทำไมแยมของฉันหายไปจากตู้เย็น ทำไมต้องเล่นคอมพิวเตอร์ ทำไมต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำไมฉันต้องอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้
เห็นได้ชัดเจนว่ามนุษย์ไม่เคยมีความสุขเลย ที่มีคำถามที่ตนเองตอบไม่ได้
และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น
มนุษย์ล่วงรู้ความลับแห่งจักรวาลและชีวิตอันซับซ้อนทีละเปลาะละเปลาะ ถ้าจะให้เปรียบความรู้ทั้งหมดตอนนี้เท่าที่มีอยู่กับความรู้ทั้งหมดจริงๆ คงจะบอกได้ว่าไปยังไม่ถึงครึ่งทาง จริงๆคือไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ด้วยซ้ำ แต่กระนั้น มนุษย์ก็มิได้ย่อท้อ ยังเดินทางไปบนเส้นทางที่ยากต่อการไขรหัสปริศนา ยิ่งไปไกลเท่าใด ปัญหาก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
คงเคยอ่านข้อความทำไมเป็นวงกลมไหมครับ ? และแล้วคำถามว่าทำไมก็จะมาบรรจบที่คำถามแรก เหมือนวงกลม (วงรีก็ได้วะ)
เส้นทางการเดินของสิ่งนี้ก็เช่นกัน
หลายคนบอกว่า ทุกคำถามมีคำตอบ
ใช่ครับ ผมก็คิดว่าทุกคำถามต้องมีคำตอบ
แต่คำตอบนั้น ถึงแม้จะถูกต้อง แต่ก็มิได้ระงับความรู้สึกบางอย่างอันแรงกล้ายิ่งของมนุษย์ลงไปได้
เช่น ทำไมรถถึงต้องมาชนคนที่เรารักและหวงแหน
"อ้าวแล้วทำไมไม่ไปชนคนอื่นวะ คนบนถนนมีตั้งเยอะ ทำไมต้องมาชนแฟนกูด้วย" คำถามนี้กระหน่ำเข้ามาในจิตใจเมื่อเกิดการสูญเสีย
(ไม่นับบางคนที่ดีใจที่แฟนสุดเฮี้ยบของตัวเองตายๆไปได้ซะก็ดี -- หายากครับ)
ลองเปลี่ยนคนโดนชนดูบ้าง เอาเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆแฟนมันแล้วกัน
"ไอ้รถห่า ทำไมต้องมาชนลูกกู คนบนถนนก็มีตั้งเยอะ" คำถามนี้ก็จะกระหน่ำมาอย่างไม่ปรานีในจิตใจของผู้เป็นพ่อและ/หรือแม่ เช่นเดียวกับที่มันกระหน่ำเข้ามาในจิตใจของมันคนที่แฟนโดนรถชนไปตอนแรกเช่นกัน
สมมุติให้ลูกเต๋ามาลูกหนึ่ง เล่นเกมเกมหนึ่ง
ใครทอดลูกเต๋าออกสี่ ตาย
คนที่หนึ่งทอด ได้สาม
คนที่สองทอด ได้หก
คนที่สามทอด ได้หนึ่ง
...
จนมีคนคนหนึ่งทอดได้สี่
อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นคนนี้ ?
ภาษาคณิตศาสตร์ (หรือเปล่าวะ) เรียกว่าความน่าจะเป็นครับ
ขณะนี้เราทุกคนก็เหมือนกับเล่นลูกเต๋ากับชีวิต เพียงแต่ลูกเต๋านั้นมีเป็นหมื่นๆแสนๆล้านๆหน้า
"ลูกเต๋าเหวอะไรวะ" บางคนคิด
แสดงว่ายอมรับไม่ได้
ศาสนาจึงกำหนดสิ่งที่เรียกว่า "บาป" ขึ้นมา
พุทธศาสนาบอกว่า การที่เราประสบเคราะห์กรรมในชาตินี้ เป็นเพราะเราทำกรรมไว้ในชาติก่อน
แล้วทำไมต้องทำกรรมไว้ตั้งแต่ชาติก่อน ?
อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็รู้หมดสิ ว่าจะต้องโดนอะไรตาย
ผมคิดว่าไม่มีหรอกบาปชาติก่อน ผมไม่เชื่อแม้เรื่องชาตินี้ชาติหน้าด้วยซ้ำ
มันเหมือนเป็นกลอุบายที่จะทำให้คนเราปลดปลงกับชีวิต ว่าชาติก่อนไม่รู้เราไปทำอะไรไว้ ชาตินี้อย่างไรๆก็ต้องรับกรรมนั้น สู้ทำบุญเพื่อชาติหน้าจะดีกว่า
เพื่อให้ยอมรับทุกอย่างอันเลวร้ายที่กำลังใกล้เข้ามาได้อย่างเต็มภาคภูมิ
คริสต์บอกว่า เพราะพระเจ้า
ผมเคยมีอคติว่า คริสต์อะไรก็อ้างพระเจ้า
บัดนี้ ผมคิดว่า การอ้างพระเจ้า ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งเช่นกัน
รวมทั้งคำสอนส่วนใหญ่ในคริสต์ศาสนา ก็มิได้อ้างแต่พระเจ้าโดยไม่มีประโยชน์ให้บุคคลยึดเหนี่ยวเป็นหลักเพื่อเดินต่อไปในโลกกว้างไกลอันโหดร้าย
ผมว่ามันเข้าถึงบุคคลได้ดีกว่าอธิบายหลักความน่าจะเป็น (โอกาสที่จะโยนเหรียญ บลา บลา บลา -*-) ตั้งเยอะ
ถึงหลายคนจะเถียงว่า หลายครั้งหลายคราที่ตนประสบกับความโชคร้ายติดต่อกันเป็นชุด
ทำไม
เข้าคำถามทำไม ก็วนตามทางวกวนต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดๆเดิมที่เราเคยตั้งคำถาม
สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีอะไร ไร้ความหมาย
ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องพยายามเดินไปตามเส้นทางนั้นมากมาย
เดินเท่าที่เราจะไปได้
แล้วจบการเดินทางอยู่ที่ลมหายใจสุดท้ายของเราเท่านั้นก็พอ