๐๐๓ | บันไดที่ไม่สิ้นสุด


ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องปีนขึ้นบันไดนี่
ตั้งแต่ผมจำความได้ ก็รู้เพียงแต่ว่าต้องปีนขึ้นไป ขึ้นไป ไม่รู้ว่าขั้นบันไดขั้นแรกอยู่ไหน และผมมาก้าวขึ้นบันไดนี้มาตั้งแต่เมื่อไร

ผมเหยียบขั้นบันไดขั้นต่อไป
เพื่อนที่ผมรู้จักที่ตามผมมาตะโกนร้องบอก "นั่น ลองนั่งหยุดพักดูได้แล้ว"
แต่ฉันไม่ยอมหยุดง่ายๆหรอก
ผมจะปีนต่อไป ต่อไป
เอาจุดหมายที่ตั้งไว้ ที่คนที่ไปได้สูงสุด

ค่อยๆก้าว ก้าว
ก้าวแล้ว ก้าวอีก
ระหว่างที่ยกขา
รู้สึกขาหนักเป็นตะกั่ว
เกาะราวบันได
มองดูป้ายบอกทาง

ผมอยู่ในจุดสูงพอสมควร
แต่ลองมองขึ้นไปบนบันไดข้างบนสิ
นั่นใคร คอยจ้วงเท้าเดินอยู่หน้าเรา

ก้าว
คิดอยู่ในใจ เมื่อไหร่การเดินทางนี้ที่ไม่สิ้นสุด จะจบสิ้น
ก้าวอีกครั้ง

ก้าวต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายปีต่อมา
ถึงลานกว้างอันหนึ่งแล้ว
ตรงนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ประสบความสำเร็จมากมาย
หากแต่มันแออัด คับคั่ง
มองไม่เห็นใครเด่น

นั่น ยังมีบันไดอยู่อีกนี่
ยังมีแรง เดินต่อขึ้นไป
ขาหนักเหมือนตะกั่วเลย บันไดตรงนี้ไม่มีราวให้จับเหมือนกับที่ผ่านมา
แถมยังมีทางเลี้ยวเคี้ยวคดอีกด้วย ไม่มีป้ายบอกทางเหมือนกับที่ผ่านมา
ทุกก้าวที่เดินไปต้องระวัง

ก้าวต่อไปเรื่อยๆ เริ่มหมดแรง

ไอ้เงาตะคุ่มๆนั่นใครวะ แม่งขึ้นไปโคตรสูง
เฮ้ย มันขึ้นไปได้ กูก็ต้องขึ้นไปได้สิ
คิดเช่นนี้ แล้วก้าวเดินต่อไป

หมดแรงแล้ว หมดแรงแล้วจริงๆ
เอาธงมาปักไว้ เฮ้ย ตรงนี้กูเคยขึ้นมาถึงแล้วนะ
จากนั้นก็ร่วงหล่นบันไดไป

ชีวิตก็เปรียบเสมือนบันไดเช่นนั้นนั่นแหละ --

๐๐๒ | กระถางดอกไม้ที่วางอยู่นอกหน้าต่างนั่น



ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย
ฉันเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงเท่าแสง
รอบตัวฉันเป็นสีดำ ว่างเปล่า
ฉันเคลื่อนไป
ฉันเริ่มรู้สึกถึงโมเลกุลของแก๊สบางชนิด รู้สึกถึงการที่ฉันเฉียดนิวเคลียสของมันไป
โมเลกุลเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
แล้วฉันก็ชนกับอะไรบางอย่าง ช่วงชีวิตของฉันจบลง

เด็กชายรู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องสาดเข้ามาโดนใบหน้า รถยนต์ที่เขานั่งอยู่สั่นกระตุกเนื่องจากพื้นถนนขรุขระไร้คุณภาพที่อยู่ใต้ล้อไร้ชื่อไร้ยี่ห้อ
มองออกไปข้างนอก มองเห็นทุ่งทานตะวันเหลืองละไมละลานตา แซมด้วยสีเขียวที่เกิดจากเม็ดรงควัตถุในใบของต้นทานตะวันนั้น เด็กชายหลงรักมันเหมือนกับที่หลงรักเด็กสาวคนหนึ่งที่เขากำลังจะเดินทางไปหา
เธอเปรียบเสมือนหลักยึดเหนี่ยวในจิตใจของเขา กำลังใจที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสายจากใจของเธอคนนั้นนั่นเองที่เปรียบเสมือนธารน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจอันโดดเดี่ยวของเขาให้ชุ่มชื้น

เด็กหญิงหน้าตาสะสวย มองผ่านหน้าต่างห้องนอนของตนไปยังทุ่งทานตะวันที่ดารดาษไปด้วยสีเหลืองของกลีบดอกท่ามกลางสีเขียวสดใสของใบ ตาของเธอเหม่อลอย จิตของเธอลอยล่องไปตามสายลมที่พัดไปบนทุ่งดอกทานตะวัน เธอสัมผัสได้ถึงความสดชื่น ความสดใส และความงามของทุ่งทานตะวันนั้น
พลันรู้สึกถึงความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนขณะนั่งมองดูทุ่งดอกทานตะวัน
เธอรู้สึกโหยหาอะไรบางอย่าง ที่กำลังจะขาดหายไป

เด็กชายถือแซนด์วิชไส้ไก่ที่แม่ทำมาให้แต่บ้าน ถึงรสชาติของมันจะไม่เลิศเลอนัก แต่ก็เป็นรสชาติที่เขาลิ้มชิมจนชินชาปาก เขาเคี้ยวแซนด์วิชอย่างสบายอารมณ์ สายตาเหม่อไปยังทุ่งทานตะวันอีกครั้ง
รถยนต์ที่เขานั่งอยู่หยุดลง คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีแดงที่มีตำแหน่งอยู่ด้านหน้าเขาลุกขึ้นยืน เขาค่อยบรรจงเอากระเป๋าสีดำที่วางอยู่บนชั้นวางกระเป๋าบนรถ ควักกระเป๋าหาเงินเหรียญอย่างร้อนรน แล้วยื่นเหรียญที่ตนหาเจอไปให้คนที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัย
เด็กชายมองดูเหตุการณ์ ความคิดเสาะไปถึงในกระเป๋าของตน จะมีเงินเหรียญเหลือไหมนะ
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กชายควรนึกถึงในตอนนี้
แต่เขาคงทราบในไม่ช้า ว่าชายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถไปนั้นโชคดีเพียงใด

เธอคงจะไม่เห็นทุ่งทานตะวันนี้ไปอีกหลายปี
พรุ่งนี้เธอคงจะต้องเดินทางไปยังประเทศนิวซีแลนด์แล้ว
เธอมองผ่านหน้าต่างอันเปิดกว้าง บัดนั้นสายตาของเธอไม่ได้เพ่งไปที่ทุ่งทานตะวันสีเหลืองอร่าม ทุ่งทานตะวันที่เธอเห็นจนชินตา
แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่กระถางดอกทานตะวันสีเหลืองสดใส ดอกทานตะวันที่เธอใช้เวลาตลอดหน้าร้อนอันยาวนานนี้ประคบประหงมดูแลมันขึ้นมา
ตั้งใจจะให้มันแก่เขาโดยเฉพาะ
ถ้าหากเขาไม่ --

สายลมอันอบอุ่นและอ่อนโยนพัดอย่างนุ่มนวลผ่านหน้าต่างรถโดยสารที่เปิดกว้าง พลันฉุดวิญญาณของเด็กชายเข้าลงสู่ดินแดนแห่งนิทรารมณ์ ที่ซึ่งมีหน้าเธอแปะอยู่ทุกที่ทั่วไป เกลื่อนกลาดดาษดา
ความสุขหลั่งไหลเข้ามาในตัวของเด็กชาย ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาห่อหุ้มจิตใจอันอ่อนล้า จิตใจที่เดียวดายอ้างว้างของเขา
เขาอ้าแขนรับความสุขที่ไหลรินมานั้นอย่างยินดี
ในฝัน เขาจมลงไปบนธารน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหน้าของเด็กหญิง
เขาแช่อยู่อย่างนั้น เฝ้ามองเรือนหน้าของหญิงอันเป็นที่รักที่แหวกว่ายไปมาราวกับว่าเป็นกลุ่มมัจฉาชาติที่มีชีวิตชีวา ความสุขยิ่งไหลริน
ฉับพลันราวกับมือมีที่มองไม่เห็น ฉุดร่างของเขาขึ้นจากธารน้ำในอุดมคตินั้น
ทุกสิ่งพลันมืดสนิท

หลังจากหมดเวลาแห่งตะวันอันทอแสงอร่ามอย่างเริงร่า ความมืดก็เข้ามาปกคลุมทุ่งดอกทานตะวันอย่างเงียบสงัด
โสตประสาทของเด็กสาวยินถึงเสียงจิ้งหรีดที่ร้องระงม แต่ใจของเธอนึกกระหวัดถึงเด็กชายอันเป็นที่รัก ป่านนี้ยังไม่มาถึงอีกหรือ
เธอผละประสาทหูของเธอจากที่เพ่งไปยังเสียงจิ้งหรีด สลับไปที่เสียงบานประตูที่เปิดอ้าออกอย่างกะทันหัน
เธอหวังว่าคงเป็นเขา
แต่ไม่ใช่
คนที่เปิดประตูเข้ามาคือแม่ของเธอ
แม่ของเธอไม่ได้มามือเปล่า
แต่นำข่าวของเด็กชายคนที่เธอต้องการพบยิ่งนักมาด้วย
น้ำตาค่อยไหลรินออกมาดวงตาที่ดูบอบบาง ณ ชั่วขณะนั้นเอง

แสงนวลขาวจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ติดบนเพดานส่องสว่าง มันค่อยเสียดแทงเข้าไปในช่องว่างระหว่างเปลือกตาของเด็กชาย ง้างเปลือกตาของเด็กชายให้เปิดอ้าออก
ตาของเด็กชายพร่ามัว ผนังห้องสีขาวสะท้อนแสงเจิดจ้า เขาค่อยเปิดเปลือกตาที่หรี่เล็ก ใช้เวลาสักพักกว่าจะเห็นอะไรชัดขึ้น
เขาอยู่ในห้องที่ทาสีขาว ของเกือบทุกสิ่งในห้องเป็นสีเรียบไม่ฉูดฉาด
สายตาของเขากวาดไปทั่วห้อง เขาเห็นผ้าม่านสีเบจปิดหน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียวในห้องนี้ จับจ้องที่มัน
เขาอยากใช้ขาของเขาพยุงตัวและรับน้ำหนักของตัวเขา พาไปยังผ้าผ่านสีเบจนั่นแล้วกระชากเปิดมันออก
แต่เมื่อเขายื่นขาขวาำพ้นผ้าห่มสีเดียวกับผ้าม่าน เขาก็พบว่ามันไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
เขามองขาตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกับเขา
และเธออยู่ที่ไหน

เด็กหญิงกระชับผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้ม
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมพัดโชยมา
มันไม่ได้ให้ความรู้สึกสดชื่นดังเช่นลมที่พัดผ่านมาจากทุ่งดอกทานตะวัน
ลมหนาวพัดเข้าเสียดแทงท่อนแขน เด็กหญิงไม่รู้สึกหนาวมากนัก เพราะเธอมั่นใจว่าความหนาวที่ท่อนแขนของเธอนั้น มันไม่เท่ากับความหนาวที่เจ้าเกาะกุมหัวใจอันอ้างว้างของเธออยู่ในเวลานั้น

เด็กชายไม่พยายามที่จะเดินไปยังผ้าม่านสีเบจนั่นอีกแล้ว
เขานอนบนเตียง ตาค้าง
เขาไม่สนใจหรอก ว่านี่คือโลกแห่งความจริงหรือความฝัน
เขาสนใจเพียงแต่ว่า โลกแห่งนี้ ไม่มีเธอ

เด็กสาวพ่นลมออกจากปาก พลันเกิดไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมา
เธอเดินไปตามถนน -- ถนนที่เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน
ตีสี่แล้ว เธอนอนไม่หลับ
นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกี่ยวกับเวลา
แต่ใจของเด็กสาว หาได้คิดเช่นนั้นไม่
เธอนึกกังวลถึงแต่เรื่องเขา
และดอกทานตะวันในกระถางนั้น

ประตูห้องที่ทาสีขาวนั้นเปิดอ้าออก ชายผู้หนึ่งท่าทางเหมือนหมอเดินพาบุคคลสองคนที่เขาจำได้ว่าคือพ่อและแม่ของเขา
ตาของแม่เขาฉายแววว่าเพิ่งร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก มือของท่านถือผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อน ผ้าเช็ดหน้าที่เขาปักลายเป็นรูปพระอาทิตย์
หน้าของพ่อร่างหยาบๆไว้ด้วยแววแห่งความเศร้าสลด เขาเห็นดวงตาของพ่อฉายแววที่ไม่เคยเห็นมาก่อนผ่านแว่นตาที่ทำด้วยเลนส์นูน
พ่อเอามือกอดคอแม่ คอยปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ระหว่างฟังคำพูดของชายที่พาพ่อและแม่ของเขาเข้ามา
"ทางเราเสียใจอย่างยิ่งครับ ลูกชายของพวกคุณเพิ่งสิ้นลมเมื่อห้านาทีก่อนนี้เอง"
ดวงตาของแม่เอ่อท้นไปด้วยน้ำตา
เช่นเดียวกับดวงตาของพ่อ แต่ต่างกันตรงที่ว่า เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของพ่อเลยสักครั้ง
เขาตะโกน "พ่อ แม่ ผมยังไม่ตาย"
ราวกับว่าอยู่คนละโลกกระนั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอของเขา
แม้แต่ตัวเขาเอง

เด็กหญิงซบหน้าลงกับผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้มนั้น น้ำตาไหลรินอีกครั้ง
หวนนึกถึงวันนี้เมื่อปีก่อน เธอแกะกระดาษห่อของขวัญสีเหลืองลายดอกทานตะวันออกอย่างช้าๆ
และพบผ้าพันคออยู่ในนั้น
เขาพูดกับเธอ "เธอคงจะได้ใช้เร็วๆนี้แล้วล่ะ"

เขาไม่ใช่ไม่มีขา แต่เขาไม่มีอะไรเลย
บัดนี้เขาเป็นเพียงดวงจิต ไร้ตัวตน ไร้รูปร่าง
เขาบังคับให้จิตเขาอยู่อย่างนั้น
ประตูเปิดอ้าออกอีกครั้ง คนที่ก้าวเข้ามาคราวนี้เป็นหญิงสาวที่สวมใส่เครื่องแบบพยาบาล ใบหน้าด้านซ้ายของเธอ มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่
เธอเดินไป เลิกผ้าม่านออก
เขาเห็นกระถางดอกทานตะวันวางอยู่ที่นั่น
แม่ของเขาพูดด้วยเสียงกระซิบ
"กระถางดอกไม้ที่วางอยู่นอกหน้าต่างนั่น ..."
ใช่ กระถางดอกไม้ที่วางอยู่นอกหน้าต่างนั่น
ต้องเป็นกระถางดอกทานตะวันที่เธอเฝ้าพูดถึงในจดหมายแน่
เขามองไปที่กระถางดอกไม้ที่วางอยู่นอกหน้าต่างนั่น
อยากร้องไห้ ตะโกนดังๆ
แต่ก็เช่นนั้น ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้เพียงสักนิด

ฉันเป็นต้นไม้ใหญ่ ฉันอยู่ตรงนี้มานานหลายปีแล้ว
เมื่อวานนี้ หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งก้าวเข้ามา ในสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าบ้านมนุษย์ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆฉัน
ฉันสังเกตผ่านหน้าต่างห้องนอนของเธอ เห็นดวงตาอันแสนอ้างว้างและเดียวดายของเธอฉายอยู่อย่างนั้น
ฉันเฝ้ามองอย่างปวดร้าว ที่ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
ฉันบังคับให้ใบของฉันปลิวพัดไป กระทบแก้มอันสดใสของเธอ

เด็กหญิงรู้สึกถึงใบไม้ที่ปลิวเข้ามาแตะใบหน้าเธอ
เธอมองไปตามทิศทางอันน่าจะเป็นที่มาของใบไม้นั้น
ฉับพลันเธอเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
น่าแปลก เธอคิด ทำไมฉันถึงไม่เห็นมันก่อนหน้านี้นะ
ความคิดของเธอ แล่นไปถึงกระถางดอกทานตะวัน
เขาจะได้รับรู้ไหมนะ ว่าเธอส่งอะไรไปให้เขา
เขาจะเห็นกระถางดอกไม้ที่วางอยู่นอกหน้าต่างนั่นไหมนะ

ฉันเห็นเธอวิ่งเอาจดหมายที่เธอนำมาจากตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านที่จ่าหน้าถึงเธอมาใต้ร่มใบของฉัน
เธอฉีกซองออกอ่านอย่างร้อนรน
ฉันหวังว่าเธอคงจะดีใจบ้าง หากได้รับข่าวสารจากทางบ้านที่เธอจากมาบ้าง
แต่ไม่เลย ไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด

เขาตายแล้ว
ตายแล้ว
คำนี้สะท้อนก้องอยู่ในหัวของเธอ
เธอซบหน้ากับดินที่ปกคลุมด้วยใบไม้
ร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

ฉันมองไปเห็นเธอซบหน้าลงกับพื้นดินตรงรากของฉัน
ฉันมองไปที่ร่างบอบบางนั้นอย่างเศร้าสลด อยากร้องไห้ร่วมกับเธอ
ฉันสละใบบางส่วน บังคับมันให้หล่นโปรยไปปลอบประโลมร่างเด็กสาว
นั่นอาจไม่ช่วยอะไรเธอนัก แต่ฉันก็ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้

จิตของเด็กชายล่องลอยไปบนท้องฟ้า
เวลาของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว
เขารู้สึกว่างเปล่า สบาย อย่างบอกไม่ถูก
ดวงจิตของเขาแตกสลาย กลางอากาศอย่างนั้น
เขาอ้าแขนรับจุดจบนี้ ราวกับว่ามันเป็นน้ำผึ้งที่หวานที่สุดกระนั้น

ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย
ฉันเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงเท่าแสง
รอบตัวฉันเป็นสีดำ ว่างเปล่า
ฉันเคลื่อนไป
ฉันเริ่มรู้สึกถึงโมเลกุลของแก๊สบางชนิด รู้สึกถึงการที่ฉันเฉียดนิวเคลียสของมันไป
โมเลกุลเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
แล้วฉันก็ชนกับอะไรบางอย่าง ช่วงชีวิตของฉันจบลง

เด็กสาวรู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่เข้ามาปะทะใบหน้า
ปลุกเธอและฉุดเธอขึ้นมาจากความมืดมิด

๐๐๑ | บทคัดย่อว่าด้วยประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า

เจอถูกถามมาหลายครั้งจากหมู่เพื่อนผู้จู้จี้จุกจิกของผม
ว่าไอ้คำว่า "ซาฟิเร่" ที่ใช้อยู่นี่หมายถึงอะไร
ถามจริงๆเถอะครับ จะเป็นอะไรกันหนักหนา ก็แค่ชื่อ นามแฝง
มองดูก็รู้ว่าไม่ได้เอาภาษาบาลีมาตั้งเป็นชื่อเหมือนชื่อจริง
แล้วถามทำไมครับ

จริงๆแล้วที่ไม่อยากตอบ
ก็เพราะว่า ที่มาของชื่อนี้ น่าอายเกินไป
ตอนนั้นผมตกต้องอยู่ในมนตร์แห่งหนังสือเดลโทร่า
อันว่าด้วยอัญมณีล้ำค่าทั้งเจ็ดที่หายสาบสูญ
ช่วงนั้นผมบ้าอัญมณีมากเลยครับ
และศึกษาความเป็นไปและคุณสมบัติบางตัวของอัญมณีที่น่าสนใจอย่างขยันขันแข็ง
และแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าผมจะไม่พบชื่ออัญมณีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "แซฟไฟร์"
หรือในภาษาอังกฤษก็คือ sapphire นั่นล่ะ

ตอนแรกๆผมก็ไม่ต่างจากนักเล่นอินเทอร์เน็ตมือใหม่ทั่วๆไป คือชอบที่จะเปลี่ยนนามแฝงไปเรื่อยๆ และกระทำการที่ไม่ค่อยฉลาดและบอกถึงความไร้ประสบการณ์บนโลกไซเบอร์ เช่นการใช้ชื่อจริงเป็นยูสเซอร์เนมเป็นต้นว่าเช่นนั้น อย่างไรก็ดี มีวันหนึ่ง ผมเริ่มคิดว่าควรจะมีชื่อ ชื่อถาวรที่ใช้ไปตลอดปีสี่ล้านชาติสักที

ย้อนกลับไปตอนที่ผมเริ่มจำความได้
ผมเริ่มรู้ว่า เฮ้ย กูชื่อบอยนะ
แล้วกูก็ต้องร้องไห้หรือตะโกนถ้าหิว
ปวดขี้ให้กูราดเลย
แต่หลายคนคงจับพิรุธข้อความด้านบนนี้ได้ เพราะตอนนั้นช่างไร้เดียงสาจนไม่รู้จักคำว่า "กู" "มึง" หรือคำหยาบควยอื่นๆแน่นอน
ดังนั้นผมพูดปดครับ จริงๆแล้วผมจำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่ว่า ผมชื่อบอย
ต่อมาเริ่มถามแม่ ชื่อจริงผมว่าอะไร เพราะเห็นชื่อพ่อชื่อแม่ วิลิศมาหราเหลือเกิน อยากมีชื่อแบบนั้นมั่ง
แม่ผมเลยสอนให้ผมเขียน
ออกมาประมาณนี้ (จริงๆลายมือยังติดอยู่ที่ฝาบ้านเก่าอยู่เลยมั้ง ถ้ายังไม่ลืมนะ)



รู้แค่นั้นพอ
ตัดมาที่ตรงก่อนหน้านี้เสีย
พอผมนึกอยากใช้อะไรที่มั่นคง
ก็นึกถึงความไม่นิยมในหมู่ยูสเซอร์เนมทั้งหลาย
ไม่ชอบใช้อะไรขึ้นต้นกันวะ
วิธีคิดแบบนี้ เป็นการคิดแบบพวกอยากแนวครับ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แล้วตอนนี้
แต่เอาเถอะ คิดได้อยู่สามตัว คือ q x z
และ -- ฮ่าาย์ ~ แซฟไฟร์
เอสกับแซดมันออกเสียงคล้ายๆกันนี่หว่า
เอาเถอะ แล้วก็เปลี่ยนๆมันไปโดยไม่คิด
สมัครสมาชิกกับบอร์ดคอมไทย
แล้วก็ใช้ยูสเซอร์เนมอันนั้นตลอดมา

เริ่มเบื่อแล้วล่ะสิครับ แต่ไม่ใช่ คงไม่มีใครแม่งมานั่งอ่านบทคัดย่อน่าเบื่อเส็งเคร็งนี้หรอก

ตัดบทกลับมา ชีวิตในช่วงวัยเด็ก
ตอนนี้ถือว่าผ่านมาหลายปีแล้วนะ สมมุติว่าตอนนี้คือปัจจุบัน (เอ๊ะ ยังไง)
ผมเป็นนักเรียนระดับความสามารถปานกลางที่อยู่จังหวัดห่างไกลจากความเจริญ ที่เขาเรียกๆกันว่าจังหวัด "นครพนม"
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ไกลสุดกู่ของภาคอีสาน
เพื่อนๆผมมักคิดว่าผมเก่งระดับเทพ
หรือไม่ก็คล้ายๆอย่างนั้นนั่นแหละ
แต่ผมคิดว่ามาตรฐานที่ใช้วัดนั้น มันคนละอย่างกัน
ด้วยโรงเรียนที่ห่างไกล ทำให้นักเรียนไร้ความกระตือรือร้น
โรงเรียนก็ไม่ต่างอะไร เหมือนกับถือว่านักเรียนฝ่ายที่ดีๆต้องมาเข้าทางนี้หมด เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด
ไม่ทำงานอย่างที่ควรทำ ไม่ประสานงานการส่งการสอบอะไรมากมายนัก
สุดท้ายก็มีแต่ความว่างเปล่าในหัวสมอง
ไร้ึความคิด บั่นทอนสติปัญญา
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกและเกิดขึ้นภายในกะโหลกอันพอกพูนความหนาทุกวันๆของผม

ผมอยู่ ม.2 แล้ว
ปีหน้าผมจะขึ้น ม.3
ปีถัดไปจะขึ้น ม.4
ม.5
ม.6
มหาลัย
ประกอบอาชีพ

นั่น เส้นทางในอุดมคติของเกือบทุกคนที่อยากนั่งสุขเสวยเสบยสบายกับงานสบายๆที่ได้มาด้วยความยากลำบาก
และใช่ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ยินดีเป็นอย่างยิ่งด้วย
ผมไม่อยากแนวดังเช่นความรู้สึกเหมือนตอนตั้งชื่อแล้ว

ทุกวันนี้ผมยังอายในการฉุกละหุกตั้งชื่อเพื่อการแนวของผม
และยังพยายามทำให้มันอ่านอย่างที่มันไม่ควรจะอ่านว่าอย่างนั้นอีก
โดยการทำให้มันอ่านว่า "ซาฟิเร่"

ทุกวันนี้ผมพยายามสร้างที่มาของคำนั้นใหม่
เช่นให้ z มาจากที่ว่ามันเป็นอักษรตัวสุดท้าย
ให้ a มาจากที่ว่ามันเป็นอักษรตัวแรก
fi เป็น Standard Ligature ที่สำคัญตัวหนึ่ง
ส่วน r และ e เป็นอักษรที่ปรากฏค่อนข้างบ่อย
6 เป็นเลขสมบูรณ์ คือตัวประกอบของมันทุกตัวยกเว้นตัวมันบวกกันแล้วได้ตัวของมันเอง

ทั้งที่ 6 ผมเลือกมาจากความชอบส่วนตัว และทั้งคำนั่นผมก็ไม่ได้มีที่มาเช่นนั้นสักหน่อย