๐๑๓ | ล้มลงหรือไม่

ผมไม่ได้ชอบมองท้องฟ้านักหรอก
แต่ที่ผมชอบพูดถึงมันบ่อยๆ เพราะมันเป็นฉากจบที่ดีของนักบินที่ไร้โชค
จริงๆแล้วข้อความที่ผมพูดเมื่อกี้นี้เป็นเท็จ
แต่บางทีก็เป็นความจริง

ทุกครั้งที่ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผมจะเห็นมันเปลี่ยนไปทุกครั้ง
เช่นเดียวกับความคิด และมุมมองต่อดวงดาวทั้งมวลที่ละเลงละลานอยู่ในท้องฟ้านั้น หรือถ้าเป็นตอนกลางวัน ก็คือมุมมองต่อดวงอาทิตย์กับก้อนเมฆที่วัดอะไรไม่ได้

มุมมองของดวงดาวมันก็เหมือนกับมุมมองของคนรอบข้างนั่นแหละ
อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้
บางทีดาวบางดวงอาจเจิดจรัสยิ่งกว่าดาวซิริอุส
แต่ฝุ่นหมอกในอวกาศนั่น อาจจะบังมันไว้อย่างไม่ตั้งใจก็ได้

แต่ดวงดาวต่างกับมนุษย์ตรงที่
ดาวมันแอ๊คท่าไม่ได้ว่ะ
ดาวมันเลือกอะไรได้เสียที่ไหน
แต่มนุษย์นี้ กลับเลือกที่ที่ตนอยู่ ตนชอบได้

เมื่อเลือกที่ที่ตนอยู่ได้แล้ว
มุมมองของคนโดยทั่วไปก็จะเปลี่ยน
เช่นเดียวกับมุมมองต่อคนอื่นของตนนั้น
นั่นหมายความว่า ทุกคนจะมองคุณในทางที่เปลี่ยนไป
ทั้งที่คุณอาจจะไม่ตั้งใจให้เขามองอย่างนั้นสักหน่อย

ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่เลือกที่ตั้งตัวอยู่ตรงจุดๆหนึ่งในเอกภพสัมพัทธ์ของผมนั้น ผมสมมุติให้เป็นบันได
และเห็นได้ชัดว่ามุมมองของคนที่อยู่รอบข้างผมเปลี่ยนไป
เช่นเดียวกับที่ผมมองคนรอบข้างของผมเปลี่ยนไปเช่นกัน
ยิ่งผมขึ้นไปสูงเท่าไร
ก็ยิ่งเห็นคนรอบข้างของผมที่อยู่ข้างล่างชัดเจนน้อยลงเท่านั้น
และยังเห็นคนที่อยู่ข้างบนผมชัดขึ้นอีกด้วย

เช่นเดียวกัน ถ้าผมอยู่สูงกว่าคนอื่น
คนอื่นก็ต้องเห็นผมชัดเจนน้อยลง เช่นเดียวกับผมที่เห็นพวกเขาชัดน้อยลง
และเช่นเดียวกันอีกครั้ง หากผมอยู่ต่ำกว่าคนอื่น
คนอื่นก็เห็นผมไม่ชัดเช่นเดียวกัน

แต่ก็เท่านั้นแหละครับ
สายตาของคนควรจะถูกควักออกมาเป็นที่สุด
อืมมมม

๐๑๒ | โพสต์ที่สิบสอง

เอ้อ -- ไม่ได้เขียนใหม่มาตั้งชาติกว่าๆแล้ว
โพสต์ที่สิบสองนี่ ดูมีความหมายเหมือนกันนะ
ผมไม่ค่อยมีอะไรมาเขียนแล้วว่ะ
ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี

ตอนนี้ผมเพิ่งสอบเสร็จครับ ก็เหมือนกับเด็กมัธยมตาดำๆ ตาขุ่นๆ ตาขวางๆ ตาขาวๆ หรือไม่ก็ตาสั้นๆ ทั่วไปนั่นแหละ
ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง
แต่รู้สึกเหมือนนกที่กำลังถูกกักเข้าไปไว้ในกรงต่างหาก

ช่วงนี้ ผมมีอะไรหลายอย่างให้ทำครับ
อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ (ซึ่งไม่ค่อยได้ทำ แต่ก็กะปริบกะปรอย) เล่นคอม รดน้ำต้นไม้ นั่งบ่น นอน ดูทีวี วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน นั่งคิดอะไรเพลินๆ นั่งประเมินตัวเอง หรือยืนก็ได้ สับไก่ ให้อาหารหมา เด็ดใบไม้เล่น เถียงกับเพื่อนว่าคำนั้นสะกดว่าอย่างนี้ต่างหาก พยายามเขียนหนังสือ พยายามทำแฟลชแบบไฮโซ (ซึ่งทำไม่ได้) ตัดใจเขียนโพสต์ใหม่ เปิดพัดลม เปิดเครื่องปรับอากาศ พยายามทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ตวัดไม้เป็นดาบเล่น นั่งปวดหัว นั่งในรถ นั่งในบ้าน ตบหัวตัวเอง ทำท่าควักลูกตากับหู หมั่นไส้ตัวเอง คิดทบทวนไปมา ดูดาว ดูดวงอาทิตย์ ฝึกวลีหยาบคาย ปั่นบ๐ร์ด ทำฟอนต์ นั่งดูคนอื่นออนไลน์ออฟไลน์ในเอ็มเอสเอ็น ด่าหมีในสกายปี้ หัวเราะตัวเอง ร้องไห้ให้ตัวเอง หายใจ บังคับให้หัวใจเต้นแต่ไม่สำเร็จ บังคับกะบังลม บังคับเปลือกตา บังคับขาให้เดินไป บังคับนิ้วให้คลิก ร้องเพลง ฟังเพลง มองหน้าตัวเองในกระจก พยายามศึกษาแอคชั่นสคริปต์ พยายามเขียนเว็บเกี่ยวกับเอสไอเอฟอาร์ วางแผนว่าจะเขียนเว็บเกี่ยวกับซีเอสเอสและเอชทีเอ็มแอล พยายามเขียนเรียงความ พยายามฝึกพิมพ์ เดิน ดูพระจันทร์ เปิดไฟ เปิดน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินข้าว กินน้ำ กินน้ำหวาน พยายามกินน้ำอัดลม นั่งมองดูฟ้า ดูหนัง และอีกหลายๆอย่าง

ผมรู้สึกเบื่อครับ
อยากร้องตะโกนดังๆ
อยากรู้สึกเหมือนไร้แรงโน้มถ่วงแต่ไม่ตาย
อยากทำอะไรที่ทำไม่ได้

โพสต์ที่หนึ่ง
ที่สอง
สาม
สี่
ห้า
หก
เจ็ด
แปด
เก้า
สิบ
สิบเอ็ด
ที่ผ่านมา
มันอยู่ตรงไหนของสมองของฉันหรือผม

๐๑๑ | สอบไล่

หนักจัง
ตัวขี้เกียจมันมาข่มหลัง
ทำให้ฉันหมดพละกำลัง
ไร้พลัง
ฉันหันหลัง
แล้วเดินผ่านผนังที่กั้นไว้ไป

ฉันปวดหัวกับสอบไล่
โอ้ ชีวิตนี้นี่ไซร้
จะบรรลัยเอาวันนี้

ข้อมูลที่เรียนมาค่อนปี
ตอนนี้
หายไปหมดแล้วน่ะซี
เถลไถลไปทุกวันวี่
เมื่อหมดปีแล้วแทบสิ้นลม

ความรู้เหมือนยาขม
โอ้ ฉันโง่บรม
ไม่บ่มยาขมซะนี่

ทุกนาที
ฉันเฝ้าคิดถ่วนถี่
ถึงผลสอบที่
ไร้เลขสี่โดยสิ้น

อยากผกโผบิน
แต่หาได้ทำตามถวิล
เพราะกำลังหมดสิ้น
เหมือนมีหินค่อยถ่วงให้ร่วงหล่น

โอ้ อนิจจาเหลือล้น
สอบเสร็จรู้สึกดังมีน้ำฝน
โปรยปรนอยู่ทั่วเต็มฟ้า

แต่พอถึงเวลา
ที่ผลสอบเดินทางมา
ราวเข็มที่แสบซ่า
ถูกยิงมาถึงในจิต

โอ้ ชีวิต
ตายสนิท
เหมือนปิดสวิตช์
ไม่ให้ชีวิตเดินต่อไปได้เช่นนั้น

แต่เหมือนฝัน
ในนั้นมีแต่ฉัน
ที่เฝ้ารำพันเศร้าโศก

ราวกับเปลี่ยนโลก
ทุกอย่างโบยโบก
โลกราวจะสูญสิ้นไป

ฉันตื่นมาไซร้
โอ้เรายังไม่
ได้สอบหรอกหรือ

หยิบหนังสือขึ้นมาฝึกปรือ
แต่ผลที่ตามมาคือ
ฝันที่ยึดถือความผิดหวังซ้ำเศร้า

พรุ่งนี้สอบแล้วเรา
ยังไม่ได้เตรียมตัวเหมือนเขา
แล้วเราจะทำได้อย่างไร

เดินเข้าห้องสอบไป
ไม่รอใคร
แล้วตะลุยทำข้อสอบไซร้
ไร้ซึ่งข้อปัญหาใดใด
ฉันดีใจ

...

๐๑๐ | ข้างหน้าต่างและบนถนน

ฉัน
เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง
ที่คนเกือบทุกคนมองข้าม
ราวกับว่าฉัน
ไม่ได้อยู่ตรงที่ฉันอยู่

กองหนังสือที่ตั้งอยู่นั่น
เป็นเพื่อนของฉันยามเวลาเหงา
ซึ่งช่วงเวลานั้นก็หมายถึงตลอดเวลานั่นแหละ
ฉันยิ้มให้กับมัน
พลางจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ
คิดอยากจะมีหนังสือของตนเองสักเล่มบ้าง

ถ้อยคำที่ถ่ายทอดลงบนแผ่นกระดาษสีขาวเปล่าของเธอนั้น เต็มไปด้วยสัญญาณแห่งความสันโดดเดียวดาย
เหมือนกับว่าไม่มีใครเลยบนโลกใบนี้
เหมือนกับว่าเธอไม่เคยได้ยินเสียงใดๆบนโลกใบนี้
นอกเสียจากเสียงใบไม้ที่ไหวปลิว เสียงลมที่ซัดซ่า และแสงอาทิตย์ที่เจนจัด
กับธรรมชาติที่อยู่เป็นเพื่อนเธอ

ผมสังเกตเห็นความจริงของเธอมาได้เมื่อนานมากแล้ว
แววตาที่เศร้าสร้อยและโดดเดี่ยวที่ฉายออกมาจากแว่นตาหนานั้น
ทำให้ผมรู้สึกว่า เธอต้องบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหนังสือกับกุญแจนั่นได้แน่

ในเที่ยงวันพฤหัสบดีวันหนึ่ง ผมเห็นเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้กับหน้าต่างที่เปิดกว้าง เพื่อให้สายลม เสียงอันสดใส และดวงอาทิตย์ได้มีโอกาสกระทบต้องตัวเธอบ้าง
ผมเดินเข้าไปหาเธอ
"สวัสดี เธอชื่ออะไรหรือ"
"ฉัน -- ฉันหรือ ฉัน -- " เธออึกอัก เหมือนกับว่าเธอลืมวิธีพูดไปแล้ว
"เอาล่ะ เธอยังไม่ต้องบอกชื่อเธอของเธอตอนนี้ก็ได้ เรา -- ชื่อต้นกล้า" ผมได้ยินเสียงตัวเองลอดผ่านริมฝีปากที่แห้งผากออกมา
"ฉัน -- ฉันชื่อใบตอง -- " ในที่สุดเธอก็บังคับให้คำพูดเลื่อนผ่านลำคอผ่านริมฝีปากของเธอได้สำเร็จ
"ทำไมเธอไม่อยู่กับเพื่อนมั่งล่ะ" ผมถาม
"ฉันดีใจมากกว่า ถ้าฉันยืนด้วยขาของตนเองได้" เธอตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
ผมครุ่นคิด "แต่ถึงเธอจะยืนด้วยขาของตนเองได้ก็จริง แต่เธอก็ยืนได้ไม่มั่นคงนะ"
"ฉันพอใจของฉันอย่างนี้" เธอพูด ตวัดเสียงเล็กน้อย
"เอาเถอะ" ผมพูด "เราดีใจนะ ที่ได้รู้จักแล้วก็คุยกับเธอบ้าง"
เด็กหญิงไม่ตอบ หันหน้าไปทางหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมที่อบอุ่นและดูมีพลังกระทบเข้ากับเรือนหน้าอันสวยงามแต่ดูหม่นหมองของเธอ

วันนี้วันศุกร์
ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นับตั้งแต่เมื่อวาน
ตัวหนังสือที่ผ่านหน้าฉันไป ดูจะผ่านสมองของเธอไปเฉยๆ
ไม่เหมือนกับใบหน้าของเขาคนนั้น ที่วนเวียนอยู่ในจิตใจอย่างแจ่มชัด
เขาเป็นคนเดียวที่ฉันพูดคุยด้วยตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฉันเริ่มรู้สึกถึงความสุขของการที่มีเพื่อนมนุษย์อยู่ร่วมโลก และสัญญาณแห่งสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเธอแล้ว

เวลากลางวัน เธอเดินอย่างอ้อยอิ่งไปยังโรงอาหาร
ขณะนั้นเอง เธอได้ยินเสียงรถสิบล้อชนกับอะไรบางอย่างเสียงดัง
คนที่อยู่ในบริเวณนั้นท่าทางตกใจและทำอะไรไม่ถูก
เธอวิ่งไปดู ด้วยขาที่อ่อนกำลัง
ราวกับที่เขาพูดไว้ไม่มีผิด

กันชนนั้นทำให้ผมเจ็บมาก
ผมไม่เห็นท้องฟ้า
ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

เด็กหญิงฝ่าด่านคนที่มุงดูเข้าไป
แล้วพบว่าเป็นเขา
เขาคนนั้น คนที่พูดคุยกับเธอเมื่อวาน
เธอคุกเข่าลงข้างๆ ร้องไห้
เธอกำลังจะเสียคนๆเดียวที่มีค่าสำหรับเธอไป

ผมบังคับให้ตาลืมขึ้นด้วยความยากลำบาก
ผมเห็นใบหน้าของเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเมื่อวาน
ด้วยอะไรสักอย่างที่ดลใจผมให้ทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับที่ดลใจให้ผมจับที่อิฐก้อนนั้น
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างอ่อนแรง
ดึงกุญแจสนิมเขรอะดอกนั้นขึ้นมา แล้วยื่นให้กับเด็กหญิงคนนั้น
ผมกระซิบ "เก็บเอาไว้ ... เก็บมันเอาไว้"
ผมรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่สัมผัสที่มือข้างนั้น
หรือมันเป็นมือแห่งมัจจุราชนะ
ทุกอย่างดำมืด
ผมสลบไป

เธอเห็นมือข้างนั้นที่เปื้อนเลือด
มือที่หยิบกุญแจดอกหนึ่งมาให้
เธอได้ยินคำกระซิบ
แล้วทำตามคำนั้น คำที่ออกมาจากปากเขา
เธอคิด ฉันจะร้องไห้ทำไม
แล้วเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง
ลุกขึ้นมา และเดินจากไปในอิริยาบถเดียวกับที่เดินมา
หากแต่เธอรู้สึกว่า แต่ละก้าว ไม่มั่นคงดังเดิม

๐๐๙ | แนวขึ้นหรือลง

ทุกวันนี้ สังคมไทยเราถูกครอบงำมากขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ
การเมืองก็พันกันยุ่งเหยิงเหมือนผมบนหัวคุณป้า
จิตสำนึกก็เตี้ยต่ำเหมือนเด็กทารกที่น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์
ค่านิยมก็ดำมืดเหมือนหมี
สรุปว่าทุกอย่างกำลังจะแย่ลง ในขณะที่วัตถุและเทคโนโลยีทั้งหลายเติบโตไปในทางที่ตรงข้าม

คนเหมือนกับต้นไม้เล็กๆที่พยายามเติบโต หากมีอยู่ต้นเดียวในเอกภพสัมพัทธ์นี้ก็ดูเหมือนกับว่าต้นไม้ดังกล่าวมีค่ามหาศาลและดูโดดเด่น แต่หากต้นไม้เป็นหมื่นแสนพันล้านต้นมาอยู่ด้วยกัน ต้นไม้แต่ละต้นก็จะดูกลมกลืนและไม่สลักสำคัญอันใด
แล้วถ้าหากคุณเป็นหนึ่งในต้นไม้เหล่านั้นเล่า
คุณจะทำยังไงเพื่อให้ตนเองดูสลักสำคัญ ในหมู่อาณาเขตต้นไม้นั่น

ต้นไม้ส่วนใหญ่พยายามผลิดอกออกผลให้สวยงามและแปลกตา
ซึ่งเปรียบได้กับความพยายามเพื่อแนวของผู้คนทั้งหลาย
บางคนออกดอกออกผลสีสันสดสวย แต่ไร้คุณภาพ
บางคนออกดอกออกผลสีสันธรรมดา แต่แน่นไปด้วยคุณภาพ
ในขณะที่บางคนออกดอกออกผลทั้งสวย และมีคุณภาพ

พิจารณาดูคนต้นไม้ที่ออกดอกสีสันสดสวยไร้คุณภาพ
นั่นหมายถึงคนที่ทำอะไรเพื่อให้ตนดูเด่นขึ้นมาหรือ
ก็อย่างเช่น พยายามทำอะไรให้แนวแบบไม่สร้างสรรค์ หรือสร้างสรรค์โดยสัมพัทธ์เฉพาะตน

ทุกคนคงเคยผ่านชีวิตของตนเองและได้สังเกตเห็นชีวิตของเพื่อน คนรู้จัก หรือคนไม่รู้จักมาบ้างแล้ว
และลองดูว่า เขาพยายามแนวแบบไหน
ผมเคยเห็นคนที่พยายามสักเพื่อความแนว
ผมเคยเห็นคนที่พยายามวาดอะไรสักอย่างใส่ง่ามมือเพื่อความแนว
ผมเคยเห็นคนที่พยายามเอาอะไรมาแขวนใส่อะไรบางอย่างซึ่งเป็นหนึ่งในสามสิบสองของตนเองเพื่อความแนว
จริงอยู่ที่มันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
แต่เหมือนกับว่า เราเดินตามกระแสที่ต้องแนวอย่างนั้น
เราต้องออกลูกสีแดง เพื่อตามเทรนด์ที่ต้องออกลูกเป็นสีแดงด้วยหรือ
เวลาเห็นคนมามุงดูอะไรที่หน้าตื่นเต้น
บอกตามตรง ว่ามันเหมืิอนฝูงสัตว์ที่มามุงดูอะไรบางอย่างเลยว่ะ
นี่หรือคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกและสถาปนาตัวเองว่าคน
คำตอบนั้นเรียบง่าย
ใช่แล้ว นี่แหละคือคน
คนที่เปรียบเหมือนต้นไม้
คนที่ไม่ทำตามนี้
คนอื่นๆจะเรียกคนคนนั้นว่า
คนไม่ปกติ
คนประหลาด
คนบ้า
คนวิปริต
และคนอื่นๆอีกสารพัดเท่าที่อยู่ในขอบเขตของจินตนาการและความจำ
เหมือนกับกั้นคอกออกมาอย่างนั้น

ตอนต่อจากการไปสนใจสิ่งที่ดูดีนั้น
คือการคุยโวว่า "เฮ้ย แบบนี้บ้านกูก็มี"
"บ้านกูยอดกว่านี้อีกว่ะ"
"9.475 เรอะ เก่าฉิบ เดี๋ยวนี้เขาใช้ 9.478 แล้ว โด่ -- "
เหมือนกับสร้างรัศมีให้ตัวเอง เฮ้ย เจ๋งว่ะ

จบดีกว่า ไม่รู้จะเขียนอะไรดี
เขียนไปก็ไม่มีคนอ่าน ฮ่าฮ่าฮ่า

๐๐๘ | หนังสือกับกุญแจ

เหมือนหัวของฉันจะระเบิดออก
มันเต็มไปด้วยความจำที่อัดแน่นเกินขนาดที่ควรได้รับนั้น
ดึกแล้ว ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ
พยายามอ่าน สิ่งที่ฉันไม่มีวันอ่านจบ

ปกสีเขียวใบตองกับตัวอักษรที่ทำจากใบหญ้าแห้งนั้นคอยล่องลอยผ่านสมองของฉัน
ผ่านตัวหนังสือที่พยายามอธิบายเรื่องภาคตัดกรวยแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ฉันอยากขว้างหนังสือที่เขียนสมการอันเข้าใจยากทั้งหลายออกทางหน้าต่างไปสู่สนามหญ้าที่แห้งกรังหน้าบ้าน
เพราะมันดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันเลย เพราะวันนี้ฉันรับอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

มองเลยผ่านตัวเลขที่บอกเลขหน้า 169 นั้น
ฉันเห็นกองหนังสือเป็นตั้งๆ สังคมศึกษา ฟิสิกส์คำนวณ เคมีอินทรีย์ ชีววิทยา เซตและจำนวนจริง ...
ฉันโยนถุงขนมลงถังขยะที่อยู่ข้างโต๊ะนั่น

ฉันเบื่อเต็มทน
กระชากลิ้นชักเปิดออก หยิบเอาหนังสือปกสีเขียวใบตองออกมา
ฉันค่อยบรรจงลูบไล้หน้าปก ผ่านต้นหญ้าแห้งที่เรียงเป็นตัวอักษรในภาษาที่เขาอ่านไม่ออก
ค่อยๆใช้นิ้วที่มีเล็บมือยาวเฟื้อยเพราะยังไม่ได้ตัด พลิกหน้าแรกอย่างระมัดระวัง เขาเห็นหมึกสีเขียวที่เขียนด้วยภาษาเดียวกับที่เห็นบนหน้าปก พร้อมด้วยใบไม้แบบที่เขาไม่เคยเห็นติดหราอยู่ด้านล่างข้อความสีเขียวนั้น
ฉับพลัน เสียงของแม่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างบานประตูไม้แกะสลัก ตะโกนสั่งให้ฉันนอนได้แล้ว
ฉันมองดูนาฬิกา ห้าทุ่มสิบห้านาที
ปิดหนังสือ ยัดใส่ลิ้นชักตามเดิม
ลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง เดินไปที่เตียง
ฉันล้มตัวลงนอน และหลับไปเกือบจะพร้อมกับที่ผมของฉันกระทบถูกหมอนสีขาว

เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเด็กนักเรียนดังกระหึ่ม ฉันนั่งครุ่นคิดโจทย์สุดหินข้อนั้นที่ฉันคิดไม่ออก ในขณะที่กระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนลอยผ่านหน้าฉันไป พร้อมกระทบหัวของเพื่อนของฉันคนหนึ่งที่ฉันรู้จักดี
เสียงระฆังดังขึ้น งานของฉันไม่เสร็จอีกแล้ว เพราะโจทย์ข้อนั้นแท้ๆ
ฉันไม่สนใจโจทย์ข้อนั้นอีกต่อไป โยนสมุดหนังสือและเครื่องเขียนเข้ากระเป๋า แล้วรีบเร่งเดินออกจากห้อง
ตอนนี้หนังสือเล่มนั้นจะยังอยู่ปลอดภัยหรือเปล่า
ตัวอักษรนั่นเป็นภาษาอะไร
แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในตู้ลับในห้องนอนของเขาได้
ข้อสงสัยเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของเขาราวกับปลาที่ว่ายอยู่ในอ่างน้ำ อ่างน้ำที่อัดแน่นไปด้วยสิ่งสกปรกมากมาย
แต่ปลาที่อยู่ในอ่างน้ำนั้นก็สิ้นใจตายเพราะขาดอากาศ ฉันผล็อยหลับไปด้วยเสียงอันเนิบนาบของอาจารย์ผู้สอนวิชาสังคม

ฉันยังจำวันแรกที่ฉันเห็นหนังสือเล่มนั้นได้
เมื่อฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนใหม่ของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างกระซิบบอก
"ลองคลำดูที่อิฐก้อนนั้นสิ ..."
ฉันทำตามเสียงกระซิบนั้นอย่างว่าง่าย
เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นกระชากบานประตูตู้ที่กลมกลืนไปกับผนังอิฐนั้นออก
ฉันเห็นของสองสิ่งในนั้น
กุญแจขึ้นสนิม กับหนังสือเล่มนั้น

ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
ควานหากุญแจดอกนั้น
เขาพบมัน ดึงมันขึ้นมาพิจารณาและลูบมันเบาๆอยู่ตรงหน้าระหว่างที่เดินข้ามตึกไปเรียนวิชาต่อไป
ไม่เห็นมีอะไร เขาคิด
ก้มหน้าก้มตาเดิน พร้อมกับพยายามยัดกุญแจดอกนั้นใส่ในกระเป๋าไว้
เงยหน้าขึ้น เขาเห็นกันชนสีเงินของรถคันใหญ่กำลังเลื่อนเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง
ราวกับว่าคนขับไม่เห็นเขายืนอยู่กระนั้น ความเร็วของรถไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด
ฉันร้องตะโกนสุดเสียง
แต่ไม่สำเร็จ
กันชนนั้นพุ่งเข้ามาชนเขาอย่างแรง

๐๐๗ | บอน



ขี้เกียจมันชนะอีกแล้ว

๐๐๖ | ขยันกับขี้เกียจ

ไอ้ตัวเหี้ยขี้เกียจ กับไอ้ควายขยันมันคุยกัน

"ไอ้สัตว์ มึงจะขยันไปทำพ่อมึง?" ไอ้ขี้เกียจกรนถามด้วยความขี้เกียจ
"ก็กูจะได้ได้ดีตอนโตไง สาดดด" ไอ้ขยันพูดเร็วฉิบหาย รีบกลับไปทำงานเหี้ยๆของมันต่อ
"ดีแล้วได้อะไร พ่อมึงสอน ชีวิตผูกติดกับไอ้ความขยันเหี้ยนี่หรือไงวะ"
ขยันตอบ "เออ พ่อกูไม่ได้สอนอย่างนี้ก็จริง แต่กูจะคิดอย่างนี้ มึงจะเป็นเหี้ยอะไรวะ"
ขี้เกียจโต้ "หรือไง แม่มึงสอน ?"
ขยันตอบ "พ่อหรือแม่กูสอน ก็ไม่เกี่ยวกับมึงนี่หว่า"
ขี้เกียจพูด "พอเถอะ ไอ้สวัสดิ์ แล้วงานที่มึงทำมาชาติกว่า แม่งเสร็จยังล่ะ"
"ยัง ... แล้วไงวะ"
"แล้วแม่งทันกำหนดมั้ย"
"ไม่ ... "
"แล้วมึงได้คะแนนมั้ยวะ"
"ไม่ ... หนักหัวพ่อมึง ?" ขยันสำรอก
"ไม่หรอก กูแค่รำคาญตา แม่งอุตส่าห์เฝ้าทำ เสือกไม่ได้ส่ง"
ขยันพูด "ยังไงกูก็ทำสุดความสามารถแล้วแหละ ไม่เหมือนมึง วันๆมีแต่นอน ไอ้สัตว์"
ขี้เกียจตอบ "เปล่า กูแค่ให้มึงดู กูทำอะไรให้เป็นศูนย์แล้วมาคูณศูนย์ได้ศูนย์ ส่วนมึงทำเป็นหมื่นล้านมาคูณศูนย์ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกู อันไหนเหนื่อยกว่ากันวะ"
ขยัน "ถึงของกูจะเหนื่อยกว่า กูก็ภูมิใจเว้ย"
ขี้เกียจ "กู -- ไม่ได้กินความภูมิใจเป็นอาหารว่ะ"
ขยันโต้ "นั่นก็เรื่องของมึง กูกิน"
ขี้เกียจ "กู -- กินข้าว แล้วมึงล่ะ ไม่กินเหรอ เห็นแม่งกินความภูมิใจ เกียรติยศ นั่งอยู่กับโต๊ะ กับงาน ไม่ได้กินข้าวกินปลา"
"ยังไงกูก็มีความพยายามล่ะวะ"
"พยายามไปแล้วแม่งได้อะไร"
"ช่างเหอะ กูขี้เกียจเถียง"
"โห เพิ่งเห็นมึงขี้เกียจครั้งแรกนะเนี่ย"
"กูก็เพิ่งเคยเห็นมึงขยันพูดครั้งนี้แหละว่ะ เห็นวันวันแม่งมีแต่กรน ไอ้เหี้ย" ขยันปิด

ซูมออกมาหน่อย เป็นหัวของเด็กชายคนหนึ่ง
งานกำลังกองท่วมหัวเขา
แล้วเขาก็เข้าใจ ว่าควรจะทำอะไรกับงานพวกนั้นดี

๐๐๕ | นาฬิกาที่หมุนทวนกลับ

ผมใส่นาฬิกาเรือนหนึ่งมานานเป็นปีแล้ว
โดยที่ส่วนมากมักจะไม่ถอด แม้แต่เวลาอาบน้ำ เวลานอน
มันให้ความรู้สึกที่ทวนความจำได้ดีเหลือเกิน

ถึงผมไม่ได้มีอะไรให้จำมากมายเช่นคนที่คิดมากทั้งหลาย
แต่เหตุการณ์ต่างๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็สั่งสมบ่มเป็นความอาลัย
เหมือนกับว่าผมจะไม่ได้เดินไปตรงนั้นอีกแล้วนะ

เปรียบชีวิตเป็นบันได ก็ไม่ถูกนัก
เพราะบันไดนั้น เดินลงมาได้
แต่ชีวิต เหมือนทางที่เดินไปได้ทิศเดียว
ผมจะเดินกลับมาเก็บของที่ผมทำหล่นไว้ไม่ได้จริงไหม

หลายคนบอกผมว่า ผมควรจะใช้เวลาในช่วงนี้ให้คุ้มค่า
ผมหวังอย่างยิ่งว่า โตขึ้นมาผมจะคิดอย่างที่คนอื่นเขาคิด
คือ "ทำไมกูไม่ใช้เวลาตอนนั้นของกูให้คุ้มค่าวะ
ไปเที่ยวกับเพื่อน ดูหนัง ฟังเพลง
ทำไมตอนนั้นกูมัวแต่หมกมุ่นกับไอ้กองกระดาษที่เรียกว่าหนังสือกับการบ้านวะ"

ผมอ่านบล็อกของพี่เต่า
และมีความคิดคล้อยตามที่พี่เขาเขียนไปเช่นนั้น
ความคิดคนก็เหมือนน้ำที่เชี่ยวกราก
มองแต่ละครั้ง ไม่มีวันซ้ำกันเลย

ตอนนี้ผมคิดว่า การอ่านหนังสือ หมกมุ่นกับไอ้กล่องสี่เหลี่ยมนี่ล่ะ คือความสุขของผมแล้ว
อนาคตข้างหน้า ผมอาจคิดว่า ไอ้กล่องสี่เหลี่ยมห่านี่ มันมีประโยชน์อะไรวะ
หรือผมอาจจะคิดว่า ไอ้กล่องสี่เหลี่ยมนี่ แพงกว่าทองคำซะอีก
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนนี่นา

ผมเลือกที่เพิกเฉยกับคำเตือนที่ว่าผมควรจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่านั้น
เพราะความรู้สึกในตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ผิดแผกอะไรจากคนรอบข้าง
ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความสุขอยู่ในโลกของผมเอง
โลกของผมที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร

ผมมองไปที่นาฬิกาที่ผมใส่มาแรมปีนั้น
มันอัดแน่นไปด้วยความทรงจำที่ทั้งดีทั้งเลวร้ายที่ผ่านเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตผมมา
ผมมองมันอย่างเศร้าสร้อย
ไม่รู้ทำไม บางทีผมมองมันเป็นเพียงแค่นาฬิกาที่ใช้บอกเวลา
แต่บางที นาฬิกาเรือนนี้ กลับมีคุณค่าทางจิตใจนัก

ผมนึกสนุก ดึงหมุดของมันออกมาแล้วหมุนกลับ
ความรู้สึกนั้นไม่ได้ย้อนกลับไปตามเข็มนาฬิกาที่หมุนทวนไปเรื่อยๆ
เพียงแต่กำลังคิดว่า ตอนนั้นทำไมผมไม่ใช้เวลาให้ดีกว่านี้นะ

นึกกระหวัดมาถึงคำเตือนของคนหลายๆคนต่อผม
ผมคิดว่า อายุก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความคิดที่ยุ่งเหยิงอันอัดแน่นอยู่ในกะโหลกของคนที่เดินดินทั่วไป
พอโตขึ้น เราทุกคนจะมองเป็นเช่นนี้
แล้วแต่ว่ามาตรฐานการมองของคนนั้นเป็นเช่นไร

บางคนเที่ยวเล่นสนุกกับเพื่อนเต็มที่
แต่พอมองกลับมาอีกที ก็ไม่เห็นว่าตนจะใช้เวลาคุ้มค่าตรงไหน
เหมือนกับผมที่ไม่พอใจในตำแหน่งของตัวเองบนบันไดที่ไม่สิ้นสุดนั้นนั่นแหละ

ดังนั้น ผมจึงคิด
ชีวิตช่วงนั้นเราใช้คุ้มค่าไปแล้วนะ
แต่เราเองต่างหากที่ไร้สามารถจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวกำไรชีวิตมาได้มากพอ
ต่อไปเราจะเก็บกำไรชีวิตนี้ไว้ให้มากเท่าที่เป็นไปได้
เท่าที่เรายังมีความสุข กับการเก็บเกี่ยวกำไรชีวิตนั้น

มองนาฬิกาที่ว่านั่น หมุนกลับมาเหมือนเดิม
คิดอย่าวุ่นวายใจ มันเป็นนาฬิกาที่หมุนทวนได้จริง
แต่เวลา ไม่ได้หมุนทวนตามมันไปด้วย
แล้วก้มหน้าก้มตา เดินขึ้นบันไดต่อไป

๐๐๔ | ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้น



เหมือนโลกทั้งใบติดอยู่ปลายนิ้ว ริมฝีปาก
หากแต่ปากที่แห้งผากและนิ้วที่แข็งทื่อถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้
ฉันอยากจะล่องลอยไปบนฟากฟ้าให้ไกลแสนไกล
ไปให้พ้นจากภัยและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง

ฉันเคยคิดฆ่าตัวตายเพื่อบวงสรวง
ดวงชะตาที่คดควงเล่นตลกกับชีวิตข้าฯ
พลันเหลือบไปเห็นดวงดารา
ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางท้องฟ้าสีหมึก
ฉันช่างชอบยามดึกที่น่าเกรงกลัวนี้ยิ่งนัก

ดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่มาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ดวงดาราก็หายวับเหลือให้เห็นแต่รอยร่องเป็นเอกลักษณ์
ฉันอยู่ตรงนี้ก็ช่างสุขใจนัก
ถึงไร้รักอยู่โดดเดี่ยวความเหงาก็มิได้ครอบงำข้าฯ
เพราะอันฉันมีดวงดาราคอยเป็นเพื่อน

ว่าแล้วจะไปให้ถึงซึ่งดวงจันทร์
ซึ่งอยู่ไกลนับพันนับหมื่นลี้
ไม่ย่อท้อฉันรีบเร่งจรลี
เดินขึ้นที่ภูเขา่ซึ่งอยู่ตรงนั้น

ก้าวไปก้าวไปเมื่อใดจะถึง
คาดคำนึงโอ้ภูเขาหนีเราเรื่อย
บนทุ่งหญ้ามีลมเย็นเยียบเทียบฝั่งพัดเอื่อยเฉื่อย
พัดเรื่อยเรื่อยคอยประโลมจิตที่คิดแผลง

จนราชรถจากสวรรค์มาถึงที่
ฉันไม่รอรีรีบเร่งรี้ขึ้นรถราที่มารับนั้น
นายคนขับแจ้งกิจการให้ฉันฟัง
คำพูดนั้นลอยเลื่อนเคลื่อนผ่านหูไป

เข้าสู่นิทรารมณ์ทั้งที่อยู่บนราชรถนั่น
พลัดตกพลันดังที่พระเจ้าท่านประสงค์ไว้
ดวงชีวิตดวงวิญญาณก็ดับวูบลงไป
คงไว้แต่ความรู้สึกที่นึกโศกและโอดครวญ

พบตัวฉันอยู่บนทุ่งหญ้าที่น่าเดินเที่ยวเล่น
ธารน้ำเย็นไหลเป็นสายเล็กเลียบฝั่ง
มองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามก็ใจหายไปพลัน
กระดูกกระเดี้ยวที่เกลื่อนกลาดนั้นดูช่างน่าเหงาใจ

เหลือบเห็นหญิงสาวงามนางหนึ่งนอนอยู่ข้างลำธารนั้น
ตัวเธอดูเหมือนสรรค์สร้างมาจากใบไม้
กายของเธอสีเขียวสดใส
เช่นเดียวกับผมและศีรษะที่มีดอกไม้ที่สวยสดงดงามยามแลเห็นตั้งเด่นอยู่บนนั้น

เสียงเธอไพเราะราวเสียงพิณที่ดีไร้ที่ติ
อ้ายามฟังนี่สิช่างสุขอภิรมย์หนักหนานา
พลันปีกของเธองอกออกมาโดยไร้ซึ่งคำเตือนของหญิงสาวที่ทำมาจากพฤกษา
หน้าของเธอบิดเบี้ยวกลายเป็นปีศาจกาที่ร้องเรียกเพรียกหมู่ของมัน

ฉันรู้ถึงจะงอยปากที่แข็งแรงงับฉันไว้
พาฉันบินข้ามไปยังอีกฝั่งลำธารน้ำใส
ไปวางข้างกระดูกที่วางทิ้งไว้อยู่นั้นไซร้
ฉันตกใจพลันร้องเรียกเพรียกหาเทวดา

ราวกับว่าสรวงสวรรค์ได้ยินกระนั้น
อัศนีบาศฟาดลงกลางลำธารสัน
แผ่นดินก็แยกออกเป็นช่องกว้างสีน้ำหมึกโดยพลัน
ฉันก็ตกลงไปพร้อมกับกามฤตยูนั่น

ราวกับเหวที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุด
สติของฉันถูกฉุดพร้อมกับภาพที่เต็มไปด้วยสีแดงส้ม
โอ้นี่เราจมลงมาถึงในดินแดนใต้พิภพแห่งอาคม
ที่เต็มล้นด้วยนักเวทย์ที่เหมาะสมแก่การอยู่ใต้ดิน

เสียงร้องที่น่ากลัวดังขึ้นเสียดหู
มีโซ่ที่เหมือนกับราวมีชีวิตกรูเข้าพันธนา
ชายสวมสุดสีแดงสุดย่างสามขุมเข้ามา
ตบหน้าฉันอย่างไร้ซึ่งแววแห่งความปรานี

โซ่ที่ล่ามนั้นก็เหมือนรู้เห็นเป็นใจ
เริ่มรัดเข้าไซร้ไร้ซึ่งความปรานีเช่นเจ้าของโซ่
แส้ที่ฟาดผ่านอากาศที่ร้อนระอุส่งเสียงน่ากลัว
โอ้ฉันทำชั่วอะไรมาหรือ

ฉับพลันทันใดแผ่นดินไหวไหวราวพิภพทั้งสิ้นจะพังลงมาทับเช่นนั้น
โซ่ที่พันธนาการฉันพลันเลื่อนไหลหลุดลอดออก
ราวกับมีมังกรพ่นน้ำอยู่ข้างใต้ฉันและสำรอก
นำน้ำจากปากของมันออกและพุ่งขึ้นมาใต้เท้าฉัน

เหมือนน้ำที่ชุบชีวิตของฉันให้เดินต่อเรื่อย
ฉันรู้สึกเหนื่อยราวกับสวรรค์ไม่มีอยู่
ฉันมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าแกมชมพู
นั่นลองมองดูเจ้าตะวันจะเลื่อนขึ้นจากขอบฟ้า

ลมที่ราวกับมีชีวิต
นำฉันติดไปราวกับเหน็บดาบไว้ที่เข็มขัดแล้ววิ่งไปฉันนั้น
ฉันตกใจด้วยความรู้สึกที่ตื่นตระหนกนั้น
แต่ความรู้สึกก็ทุเลาลงพลันเพราะหน้าต่างสีน้ำเงินที่ใกล้เข้ามา

มองเห็นเตียงและลูกบิดประตูที่ค่อยหมุน
ลมนั้นรีบเร่งดุนฉันเข้าหน้าต่างที่เปิดกว้าง
ไปยังเตียงนอนที่ถูกทิ้งอยู่ให้อ้างว้าง
ผ้าห่มผืนใหญ่สีน้ำตาลก็ห่มฉันอย่างนวลนุ่ม

เหมือนโลกทั้งใบติดอยู่ปลายนิ้ว ริมฝีปาก
หากแต่ปากที่แห้งผากและนิ้วที่แข็งทื่อถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้
ฉันอยากจะล่องลอยไปบนฟากฟ้าให้ไกลแสนไกล
ไปให้พ้นจากภัยและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง